ศาสตราจารย์ ดร. นายแพทย์ สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล เลขาธิการคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ ทำหน้าที่ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เปิดเผยผลการศึกษาว่า ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา จำนวนผู้ติดเชื้อโรคโควิด-19 ในอาเซียนได้เพิ่มขึ้นสองเท่า จาก 6,275 ราย เป็น 12,369 ราย และผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นถึง 140% จาก 175 ราย เป็น 420 ราย โดยเฉพาะในประเทศฟิลิปปินส์ในเวลาเพียง 7 วันมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเกือบ 3 เท่า และผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นถึง 90 คน ส่วนในประเทศอินโดนีเซีย มีจำนวนผู้เสียชีวิตรวมแล้วถึง 191 คน คิดเป็น 9% ของผู้ติดเชื้อที่รายงาน ซึ่งอัตราการตายที่สูงมากนี้ อาจจะเกิดจากข้อจำกัดในการดูแลรักษาผู้ป่วยหนักหรือเกิดจากจำนวนของผู้ติดเชื้อที่รายงานยังต่ำกว่าจำนวนผู้ติดเชื้อทั้งหมด เกือบทุกประเทศในอาเซียน ได้ยกระดับมาตรการในการควบคุมโรคโควิดอย่างเข้มงวดขึ้นมาก เช่น ประเทศไทยได้ประกาศเคอร์ฟิวในช่วงกลางคืน และสิงคโปร์ได้ประกาศปิดโรงเรียนและบริษัทเป็นส่วนใหญ่
การระบาดของโรคโควิดยังแพร่กระจายอย่างรวดเร็วมากในสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งมีผู้ติดเชื้อรวมทั่วโลกแล้วเกิน 1,000,000 คน จุดหลักของการระบาดกำลังอยู่ที่ทวีปอเมริกาเหนือและทวีปยุโรป ซึ่งแซงหน้าทวีปเอเชียในประเทศที่มีผู้ติดเชื้อมากที่สุดยี่สิบอันดับแรก มีเพียง 3 ประเทศที่อยู่ในเอเชีย
อย่างไรก็ตาม การติดเชื้อโรคโควิด-19 ในอาเซียน ยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วง 7 วันที่ผ่านมานี้ทุกประเทศพบผู้ติดเชื้อเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในฟิลิปปินส์และอินโดนีเซียที่แซงไทยขึ้นเป็นอันดับที่ 2 และ 3 แล้ว
อันดับที่ 1 คือ มาเลเซีย มีผู้ติดเชื้อเพิ่มจาก 2,161 ราย เป็น 3,483 ราย หรือเพิ่มขึ้น 61% โดยผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นจาก 26 ราย เป็น 57 ราย (เพิ่มขึ้น 119%) ในวันที่ 4 เมษายน 2563 มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น 367 ราย และเสียชีวิตเพิ่มขึ้น 7 ราย
อันดับที่ 2 คือ ฟิลิปปินส์ มีผู้ติดเชื้อเพิ่มจาก 803 ราย เป็น 3,094 ราย หรือเพิ่มขึ้น 285% โดยผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นจาก 54 ราย เป็น 144 ราย (เพิ่มขึ้น 167%) ในวันที่ 4 เมษายน 2563 มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น 461 ราย และเสียชีวิตเพิ่มขึ้น 37 ราย
อันดับที่ 3 คือ อินโดนีเซีย มีผู้ติดเชื้อเพิ่มจาก 1,046 ราย เป็น 2,092 ราย หรือเพิ่มขึ้น 100% โดยผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นจาก 87 ราย เป็น 191 ราย (เพิ่มขึ้น 119%) ในวันที่ 4 เมษายน 2563 มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น 302 ราย และเสียชีวิตเพิ่มขึ้น 21 ราย
อันดับที่ 4 คือ ไทย มีผู้ติดเชื้อเพิ่มจาก 1,136 ราย เป็น 2,067 ราย หรือเพิ่มขึ้น 82% โดยผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นจาก 5 ราย เป็น 20 ราย (เพิ่มขึ้น 300%) ในวันที่ 4 เมษายน 2563 มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น 89 ราย และเสียชีวิตเพิ่มขึ้น 1 ราย.
อันดับที่ 5 คือ สิงคโปร์ มีผู้ติดเชื้อเพิ่มจาก 732 ราย เป็น 1,114 ราย หรือเพิ่มขึ้น 52% โดยผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นจาก 2 ราย เป็น 6 ราย (เพิ่มขึ้น 200%) ในวันที่ 4 เมษายน 2563 มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น 65 ราย และเสียชีวิตเพิ่มขึ้น 2 ราย
อันดับที่ 6 คือ เวียดนาม มีผู้ติดเชื้อเพิ่มจาก 169 ราย เป็น 240 ราย หรือเพิ่มขึ้น 42% โดยยังไม่มีผู้เสียชีวิต ในวันที่ 4 เมษายน 2563 มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น 7 ราย
ส่วนประเทศบรูไน กัมพูชา พม่าและลาว ยังมีรายงานผู้ติดเชื้อไม่มากนัก
ทั้งนี้อัตราการเพิ่มขึ้นของผู้ติดเชื้อในฟิลิปปินส์รวดเร็วมากคล้ายกับที่พบในทวีปยุโรป ทั้งจากการวิเคราะห์เปรียบเทียบจำนวนผู้ติดเชื้อหลังจากเมื่อครบ 100 คนแรกและ 1,000 คนแรกแล้ว มีแนวโน้มที่อาจจะเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด กราฟมีความชันสูง ประเทศอินโดนีเซียก็มีความชันของกราฟสูงและจำนวนผู้ติดเชื้อของอินโดนีเซียเพิ่งแซงหน้าประเทศไทยในวันที่ 4 เมษายน 2563 สำหรับไทยและมาเลเซียมีความชันของกราฟใกล้เคียงกัน แต่ใน 2 วันมานี้จำนวนผู้ติดเชื้อในมาเลเซียเริ่มสูงขึ้นอีก จำนวนผู้ติดเชื้อใหม่ในวันที่ 4 เมษายน เรียงตามลำดับ ได้แก่ ฟิลิปปินส์ (เพิ่ม 461 ราย) มาเลเซีย (เพิ่ม 367 ราย) อินโดนีเซีย (เพิ่ม 302 ราย) ไทย (เพิ่ม 89 ราย) และสิงคโปร์ (เพิ่ม 65 ราย)
สถานการณ์การเพิ่มขึ้นของผู้ติดเชื้อโรคโควิด-19 ในแต่ละประเทศ ทำให้ต้องมีการเฝ้าระวังมากขึ้นอย่างมาก ยกระดับมาตรการสำคัญ เพิ่มการเว้นระยะห่างระหว่างบุคคลและงดกิจกรรมทางสังคมโดยในประเทศไทยได้ประกาศเคอร์ฟิวในช่วงกลางคืนและลดการเดินทางระหว่างประเทศ ฟิลิปปินส์ได้ใช้มาตรการเข้มเช่นกัน โดยได้ประกาศคำสั่งห้ามชาวต่างชาติเดินทางเข้าในประเทศ
ส่วนประเทศสิงคโปร์ซึ่งก่อนหน้านี้สามารถควบคุมจำนวนผู้ติดเชื้อได้ดี แต่ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะในผู้ที่ไม่มีประวัติสัมผัสกับผู้ติดเชื้อมาก่อน ซึ่งแสดงว่าเริ่มมีการแพร่กระจายของเชื้อระหว่างบุคคลในชุมชนแล้ว รัฐบาลสิงคโปร์จึงได้ยกระดับมาตรการเข้มงวดขึ้นอีก โดยการปิดโรงเรียน มหาวิทยาลัย และปิดการทำงานของภาคธุรกิจเว้นแต่ธุรกิจที่มีความสำคัญอย่างมากต่อประเทศเท่านั้นเป็นเวลา 1 เดือน รวมทั้งได้เปลี่ยนนโยบายเรื่องการใส่หน้ากากซึ่งแต่เดิมแนะนำให้ใช้เฉพาะผู้มีอาการป่วยเท่านั้น แต่เปลี่ยนเป็นให้คนทั่วไปใช้หน้ากากผ้าแบบซักทำความสะอาดได้
More Stories
เอสซีจี คว้า 5 รางวัลงาน TMA Excellence Awards 2024 โดดเด่นด้านผู้นำ พัฒนาคนธุรกิจเติบโตยั่งยืนด้วยนวัตกรรมกรีน ปรับองค์กรคล่องตัวยิ่งขึ้นรับทุกความท้าทายโลก
สตาร์ทขุมพลังแรงขับเคลื่อนกับ “DRIVEN” นิทรรศการและการประมูลงานศิลปะจาก The Art Auction Center
การใช้โบลเวอร์อุตสาหกรรม ในระบบอุตสาหกรรมยุคใหม่