SCGJWD ลุยโซลูชันโลจิสติกส์สำหรับสินค้าควบคุมอุณหภูมิครบวงจรทั่วอาเซียน รับเศรษฐกิจฟื้นตัว และแนวโน้มอุตสาหกรรมคลังสินค้าห้องเย็น อาหาร และเฮลท์แคร์ เติบโตแข็งแกร่ง นับจากปี 2024-2029 วาง 4 กลยุทธ์ ปักหมุดลงทุนในไทยต่อเนื่องบนทำเลยุทธศาสตร์อีก 8 โลเคชัน รุกสร้างโอกาสใหม่ในต่างประเทศ ร่วมมือพาร์ทเนอร์ขยายธุรกิจและนำเสนอโซลูชัน มุ่งโฟกัสตลาดเฮลท์แคร์และยาที่มีศักยภาพสูง นำเทคโนโลยี AI ยกระดับโลจิสติกส์และประหยัดพลังงาน ดันรายได้โตต่อเนื่อง
นายชวนินทร์ บัณฑิตกฤษดา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัทเอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCGJWD ผู้ให้บริการโลจิสติกส์และซัพพลายเชนแบบครบวงจรรายใหญ่ที่สุดในอาเซียน เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวและการท่องเที่ยวที่กลับมาคึกคัก ทำให้ความต้องการจัดเก็บและขนส่งอาหารแช่แข็ง อาหารสำเร็จรูปพร้อมทานแช่แข็งเพิ่มสูงขึ้น ทั้งจากการบริโภคภายในประเทศและการที่ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตสำหรับส่งออก พร้อมกับการขยายตัวของอุตสาหกรรมใหม่ ๆ ที่มีมูลค่าสูงเพิ่มขึ้น ซึ่งจำเป็นต้องควบคุมอุณหภูมิให้เหมาะกับการจัดเก็บสินค้า อาทิ อุตสาหกรรมยาและเวชภัณฑ์ เครื่องสำอาง อาหารสัตว์ ทำให้ธุรกิจโลจิสติกส์สำหรับสินค้าควบคุมอุณหภูมิในประเทศไทยมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง โดยประเมินแนวโน้มภาพรวมอุตสาหกรรมโลจิสติกส์สำหรับสินค้าควบคุมอุณหภูมิ (Cold Chain Logistics) ในประเทศไทย จะมีอัตราเติบโตเฉลี่ย 8.03% ต่อปี ในอีก 5 ปีข้างหน้า (2024-2029) และคาดการณ์ว่าจะมีมูลค่าตลาดรวมเพิ่มขึ้นเป็น 1.78 พันล้านเหรียญสหรัฐภายในปี 2029
แผนการดำเนินธุรกิจของ เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี (SCGJWD) จึงเร่งเสริมความแข็งแกร่งแก่ธุรกิจโลจิสติกส์สำหรับสินค้าควบคุมอุณหภูมิเพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน ด้วยการต่อยอดจุดแข็งในปัจจุบัน เช่น เป็นผู้ให้บริการห้องเย็นสาธารณะที่มีพื้นที่ให้บริการมากที่สุด 8 โลเคชันครอบคุมทั่วประเทศ รวมกว่า 241,000 พาเลต (แท่นวางสินค้า), ติดตั้งระบบจัดเก็บสินค้าอัตโนมัติ, ผ่านการรับรองมาตรฐานสากลและใบอนุญาตทุกประเภท เป็นต้น โดยในปี 2025-2029 ได้วางงบลงทุนธุรกิจคลังสินค้าห้องเย็นรวมกว่า 1,000 ล้านบาท เพื่อผลักดันรายได้จากธุรกิจดังกล่าวให้มีอัตราเติบโตอย่างต่อเนื่องเฉลี่ย 12.8% ต่อปี จากเป้าหมายรายได้ปี 2025 ที่ 1,100 ล้านบาท ภายใต้ 4 กลยุทธ์หลักที่ขับเคลื่อนการขยายธุรกิจโลจิสติกส์สำหรับสินค้าควบคุมอุณหภูมิในประเทศไทยและอาเซียน ได้แก่
- ขยายฮับคลังสินค้าห้องเย็นในจังหวัดภูมิภาค: ลงทุนขยายคลังสินค้าห้องเย็นในจังหวัดที่เป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์และเชื่อมต่อกับระบบขนส่งหลัก เสริมความสะดวกในการกระจายสินค้า ลดระยะเวลาการขนส่ง และประหยัดต้นทุนด้านโลจิสติกส์ โดยปัจจุบัน SCGJWD มีคลังสินค้าห้องเย็น 8 แห่งทั่วประเทศ ประกอบด้วย สมุทรสาคร 3 แห่ง สมุทรปราการ 3 แห่ง ฉะเชิงเทรา 1 แห่ง และสระบุรี 1 แห่ง รองรับสินค้ามากกว่า 241,000 พาเลท และจะลงทุนปรับปรุงคลังสินค้าทั่วไปของ SCG Logistics เดิมให้รองรับการจัดเก็บสินค้าแช่เย็นแช่แข็งในจังหวัดหัวเมืองที่เป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญอีก 8 แห่ง เช่น ปทุมธานี สระบุรี เชียงใหม่ ขอนแก่น ภูเก็ต เป็นต้น โดยจะมีพื้นที่ให้บริการเพิ่มขึ้นอีก 24% เป็น 300,000 พาเลทภายในปี 2029
- ขยายธุรกิจในอาเซียน: บริษัทฯ วางแผนสร้างโอกาสใหม่ทางธุรกิจ โดยขยายการลงทุนและร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ในอาเซียน ได้แก่ ความร่วมมือกับ SWIFT ขยายธุรกิจคลังสินค้าห้องเย็นในมาเลเซีย รวมทั้งขยายธุรกิจในฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และเวียดนาม ผ่านความร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ที่แข็งแกร่งในแต่ละประเทศและศึกษาโอกาสการทำ M&A
- ร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ขยายธุรกิจและออกแบบโลจิสติกส์โซลูชันตามโจทย์ทางธุรกิจของลูกค้า: โดยบริษัทฯ ได้ร่วมทุนกับกลุ่มไทยยูเนี่ยน จัดตั้งบริษัทร่วมทุนเพื่อลงทุนคลังสินค้าห้องเย็นระบบอัตโนมัติ (ASRS) สำหรับจัดเก็บสินค้าปลาทูน่า ในจังหวัดสมุทรสาคร และร่วมกับ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR ให้บริการโซลูชันจัดส่งสินค้าเบเกอรี่แก่ร้าน Amazon Café กว่า 500 สาขาทั่วประเทศ โดยใช้นวัตกรรมขนส่งเย็น Cool Container ผ่านเครือข่ายขนส่งของ SCGJWD ที่มีจำนวนฟลีทรถมากที่สุด สามารถขยายพื้นที่จัดส่งได้ครอบคลุมทั่วประเทศและคงคุณภาพสินค้าที่ดีถึงปลายทาง
- ขยายบริการแบบ End-to-End Supply Chain Solution ในธุรกิจเฮลท์แคร์และยา: จะใช้จุดแข็งด้านความเชี่ยวชาญบริการขนส่งและคลังสินค้าควบคุมอุณหภูมิทั่วประเทศ การได้รับรองมาตรฐานระดับสากล ระบบประกันคุณภาพสินค้าตลอดกระบวนการ และบริการเสริม เพื่อขยายบริการภายใต้กลยุทธ์หลัก ได้แก่ การจับกลุ่มลูกค้าที่มีศักยภาพ และเจาะกลุ่มยาและวัคซีนที่มีอัตรากำไรที่ดี
นายบรรณ เกษมทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม SCGJWD กล่าวเสริมว่า บริษัทฯ ประยุกต์ใช้เทคโนโลยี และ AI ตลอดกระบวนการซัพพลายเชนเพื่อยกระดับการบริหารจัดการคลังสินค้าห้องเย็นให้รวดเร็ว แม่นยำยิ่งขึ้น ช่วยบริหารจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ อาทิ ใช้เทคโนโลยีจัดเก็บและจ่ายสินค้าอัตโนมัติ (Automated Storage Retrieval System: ASRS) เพื่อช่วยจัดเก็บสินค้าได้อย่างรวดเร็ว แม่นยำกว่า 99.9% ปลอดภัยสูง คงความสดใหม่และรักษาคุณภาพของสินค้าได้ดีกว่าเดิม รวมทั้งติดตั้งระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) คัดขนาดปลาทูน่า เพิ่มความแม่นยำได้มากกว่า 95% และจะขยายสู่การคัดแยกสายพันธุ์ปลาในปีหน้า
บริษัทฯ มุ่งดำเนินธุรกิจตามแนวทาง ‘โลจิสติกส์สีเขียว (Green Logistics)’ โดยการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนหลังคา (Solar Rooftop) ที่คลังสินค้าห้องเย็นทุกแห่ง เพื่อผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ทดแทนการซื้อไฟฟ้า เปลี่ยนมาใช้รถโฟล์คลิฟท์ไฟฟ้าแทนรถน้ำมันเชื้อเพลิง รวมถึงการใช้เทคโนโลยีจัดเก็บและจ่ายสินค้าอัตโนมัติ (Automated Storage Retrieval System: ASRS) ที่ช่วยลดการใช้ไฟฟ้า เพิ่มขีดความสามารถในการจัดเก็บ เทคโนโลยีหลักที่กล่าวมาข้างต้นนี้ ช่วยให้บริษัทบริหารต้นทุนค่าไฟฟ้าได้ดียิ่งขึ้นและช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งนับตั้งแต่ปี 2560 ที่ผ่านมา บริษัทสามารถลดค่าไฟฟ้าได้กว่า 200 ล้านบาท และลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้กว่า 33,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า และเทคโนโลยี TMS (Transport Management System) ที่ช่วยเรื่องวางแผนการเส้นทางการขนส่ง ทำให้สามารถประหยัดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง และช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ได้เพิ่มมากขึ้น เพื่อบรรลุเป้าหมายของบริษัทฯ สู่ Net Zero ในปี 2050
More Stories
ชาเมียร์ จับมือ THE NEXT เปิดตัวเลนส์แว่นตาอัจฉริยะ SHAMIR DRIVER INTELLIGENCE™ นวัตกรรมใหม่ในวงการแว่นตา
น้ำมันพืช ตราเกสร จุดประกายความอร่อยแบบรักษ์โลก เจ้าแรกของน้ำมันพืชใช้ขวด rPET ยึดหลักแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน
SCGC ทุ่ม 700 ล้านเหรียญสหรัฐ ลงทุนใน LSP คอมเพล็กซ์ เวียดนาม