December 7, 2024

www.thainewsbiz.com

ครบธุรกิจ บันเทิง ท่องเที่ยว แลไลฟ์สไตล์

“ออโรร่า วิสดอม” ทุ่ม 3,000 ล้านบาท ผุดโรงงานผลิตถุงมือยางในไทย ตั้งเป้า 3 ปี ผลิตได้ 80 ล้านกล่องต่อเดือน

บริษัท ออโรร่า วิสดอม จำกัด นำโดย ศ.ดร.นพ. วิปร วิประกษิต ผนึกนักลงทุนต่างชาติ ทุ่มงบกว่า 3,000 ล้านบาท เปิดตัวโรงงานผลิตถุงมือยางเพื่อการส่งออก 2 ประเภท 2 แบรนด์ ได้แก่ แบรนด์ออโรร่า (AURORA©) ถุงมือยางที่ใช้ทั่วไป และแบรนด์ด็อกเตอร์วีไอพี (DOCTOR VIP©) ถุงมือทางการแพทย์ โดยแบ่งการลงทุนเป็น 3 ระยะ ระยะแรก 8 สายการผลิตพร้อมส่งออกไตรมาสแรกปี 64 และอีกระยะ 2-3 ภายใน 3 ปี ด้วยเงินลงทุนรวมกว่า 15,000 ล้านบาท 80 สายการผลิตที่จะสามารถผลิตได้ 80 ล้านกล่องต่อเดือน มีกลุ่มเป้าหมายอยู่ที่ตลาดส่งออกที่อเมริกาและยุโรปเป็นหลัก และเตรียมขยาย Marketing Platform พร้อมชูอุตสาหกรรมยั่งยืนควบกิจการโรงไฟฟ้าสีเขียวไว้ในที่เดียวกัน อนาคตตั้งเป้าขยายการลงทุนเพิ่ม พร้อมที่จะเตรียมตัวเข้าตลาดหลักทรัพย์ต่อไป

ศ.ดร.นพ. วิปร วิประกษิต ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัทออโรร่า วิสดอม จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้ร่วมกับนักลงทุนต่างชาติจากจีน และมาเลเซีย ด้วยสัดส่วนนักลงทุนในประเทศไทย 51% และต่างชาติ 49% ในการเปิดตัวโรงงานผลิตถุงมือยางเพื่อการส่งออกด้วยผลิตภัณฑ์ถุงมือยาง 2 ประเภท 2 แบรนด์ ที่แตกต่างกันตามการใช้งานและประเภทของวัตถุดิบหลัก ได้แก่ แบรนด์ออโรร่า (AURORA©) เป็นผลิตภัณฑ์ถุงมือยางที่ใช้ทั่วไป (Non-medical gloves) และแบรนด์ด็อกเตอร์วีไอพี (DOCTOR VIP©) เป็นผลิตภัณฑ์ ถุงมือทางการแพทย์ ซึ่งเป็นถุงมือไนไตร (Nitrile gloves) ด้วยมาตรฐานที่ใช้ในโรงพยาบาลและสถานบริการด้านสุขภาพ

ซึ่งการลงทุนในครั้งนี้ ในระยะต้นบริษัทจะลงทุนที่ 8 สายการผลิต งบประมาณรวมทั้งค่าที่ดิน และค่าก่อสร้างที่ 3,000 ล้านบาท โดยโรงงานมีพื้นที่รวม 111 ไร่ โดยแบ่งเป็นพื้นที่โรงงานผลิตถุงมือยางในไตร และพื้นที่สนับสนุน 70% เป็นพื้นที่โรงไฟฟ้าชีวมวล 20% และเป็นพื้นที่จัดเก็บน้ำขนาด 16 ไร่คิดเป็น 10% ของพื้นที่ทั้งหมด และจะทยอยขยายสายการผลิตจนครบ 80 สายการผลิตใช้เงินลงทุนรวมไม่ต่ำกว่า 15,000 ล้านบาท ซึ่งในระยะแรกบริษัทฯ มีกำลังการผลิตในประเทศไทย และกำลังการผลิตจากโรงงานในประเทศจีนที่รองรับความต้องการได้ที่ 3 ล้านกล่องต่อเดือน และจะทยอยเติบโตไปสูงสุดที่ 80 ล้านกล่องต่อเดือน ภายในระยะเวลา 3 ปี

ศ.ดร.นพ. วิปร วิประกษิต กล่าวต่อไปว่า ปัจจุบันบริษัทมีสาขาอยู่ที่เมืองเทียนจิน ประเทศจีน คือ บริษัท ออโรร่าวิสดอม ไชน่า และมีสาขาในทวีปยุโรป ที่กรุงโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก คือ บริษัท ออโรร่า วิสดอม เดนมาร์ก ปัจจุบันกำลังอยู่ในระหว่างพิจารณาจัดตั้งตัวแทนใน ฮ่องกง กัมพูชา และลาวตาม ลำดับ พร้อมทั้งยังพิจารณาที่จะนำสินค้าไปจำหน่ายผ่าน Marketing Platform อื่นๆ ต่อไปอีกด้วย

“ปัจจุบันโรงงานผลิตถุงมือทางการแพทย์ในไทยส่วนใหญ่ผลิตถุงมือยางพารา ซึ่งหากผู้ใช้สวมถุงมือติดต่อกันอาจมีโอกาสเกิดอาการแพ้โปรตีนในยางพาราในอัตรา 1-5 เปอร์เซ็นต์ และอัตราการแพ้จะเพิ่มสูงได้ถึง 10-12 เปอร์เซ็นต์ ในบุคลากรที่ต้องใส่ถุงมือยางติดต่อกันเป็นเวลานานๆ เช่น บุคลากรทางการแพทย์ ดังนั้นการส่งออกไปยังประเทศแถบอเมริกาและยุโรปจึงมีความต้องการใช้ถุงมือไนไตรมากกว่า หลังจากที่พิจารณาถึงข้อจำกัดและรายละเอียดในการผลิตแล้ว ทางเราได้เล็งเห็นโอกาสที่ผู้ประกอบการของไทยจะผลิตถุงมือยางทั้งแบบที่ใช้ทางการแพทย์ และสำหรับการใช้งานทั่วไปได้อย่างมีคุณภาพ และเข้าเกณฑ์มาตรฐานสากล สำหรับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายหลักของเรา จึงได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ทั้งสองแบรนด์นี้โดยมีการใช้เทคโนโลยีทันสมัยที่สามารถผลิตถุงมือยางได้ปริมาณ 1 ล้านชิ้นภายใน 24 ชม. ต่อสายการผลิตซึ่งจะเพิ่มประสิทธิภาพและรองรับความต้องการได้เป็นอย่างดี” ศ.ดร.นพ. วิปร วิประกษิต กล่าว

ทั้งนี้โรงงานของบริษัท ออโรร่า วิสดอม ตั้งอยู่ในพื้นที่จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นโรงงานแห่งแรกที่เปิดสายการผลิตถุงมือ ร่วมกับโรงไฟฟ้าแบบชีวมวลขนาด 8 เมกะวัตต์ บนพื้นที่ทั้งหมด 111 ไร่ ควบคู่กันไป เพื่อเดินตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง มีการใช้ทรัพยากรแบบหมุนเวียน และมุ่งเน้นการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน ตามแบบโรงงานสีเขียว มีการหมุนเวียนทรัพยากรน้ำที่ใช้ในกระบวนการผลิตและการนำวัตถุดิบที่เหลือจากเกษตรกรในท้องถิ่นมาใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้า ซึ่งผลผลิตทั้งจากโรงงานถุงมือและโรงไฟฟ้าชีวมวล จะสร้างรายได้ให้กับธุรกิจ รวมทั้งเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน

ศ.ดร.นพ. วิปร วิประกษิต กล่าวทิ้งท้ายว่า “บริษัทฯ มีแผนที่จะเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อระดมทุนในการตั้งเป้าหมายในอนาคตที่จะผลิตถุงมือทางการแพทย์ที่ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ เช่นถุงมือทางการแพทย์สำหรับแพทย์เฉพาะทาง เช่นศัลยแพทย์กระดูก สูติแพทย์ ถุงมือสำหรับการผ่าตัดส่องกล้องและการจัดตั้งสายการผลิตถุงมือทางการแพทย์แบบปลอดเชื้อ (sterile gloves) ต่อไปอีกด้วย”